การทำปุ๋ยหมักจากเศษใบไม้
การกองปุ๋ยหมัก
1. นำเศษใบไม้ชนิดต่างๆมากองบนพื้นดินในที่ร่ม ให้มีความกว้าง 3 เมตร ยาว 5 เมตร หนา 0.5 เมตร (500 กก.) 2. โรยมูลสัตว์ที่หาได้ง่ายในพื้นที่ เช่น มูลหมู มูลไก่ มูลโค หรือมูลกระบือ จำนวน 100 กก. (2 กระสอบปุ๋ย) บนกองเศษใบไม้ในข้อ 1. 3. โรยปุ๋ยยูเรียทับลงไป 1-2 กก. 4. โรยดินที่อุดมสมบูรณ์ทับลงไปอีก 100 กก. (หรือ 2 กระสอบปุ๋ย) 5. ปฏิบัติดังเช่นข้อ 1. – 4. อีก 2 ครั้ง จนกระทั่งได้กองปุ๋ยหมักสูง 1.5 เมตร 6. โรยดินที่อุดมสมบูรณ์บริเวณผิวหน้ากองปุ๋ยหมักในข้อ 5. ให้หนาประมาณ 1 นิ้ว
การกลับกองปุ๋ยหมัก
1. ควรกลับกองปุ๋ยหมักโดยพลิกเอาส่วนล่างขึ้นมาไว้ด้านบน ทุกๆ 10 วัน
การรดน้ำกองปุ๋ยหมักและการได้ปุ๋ยหมักที่สมบูรณ์
1. รดน้ำปุ๋ยหมักให้มีความชื้นพอเหมาะ ถ้าแห้งให้รดน้ำทุก 7 วัน 2. ใช้เวลากองประมาณ 2 เดือน ก่อนที่จะนำมาใช้ ให้สังเกตความร้อนภาย ในกองปุ๋ยว่าอุณหภูมิใกล้เคียงกับภายนอกกอง หรือมีพืชเจริญ บนกองปุ๋ยหมักก็ถือว่าสามารถนำมาใส่ต้นไม้ได้
การทำปุ๋ยหมักชีวภาพ
ปุ๋ยหมักชีวภาพ คือ ปุ๋ยอินทรีย์ที่ผ่านกระบวนการหมักกับน้ำสกัดชีวภาพ ช่วยในการบำรุงดิน ย่อยสลายอินทรีย์วัตถุในดินให้เป็นอาหารแก่พืช วัสดุอุปกรณ์ 1) มูลสัตว์แห้งละเอียด 3 ส่วน 2) แกลบดำ 1 ส่วน 3) อินทรีย์วัตถุอื่นๆ ที่หาได้ง่าย เช่น แกลบ ชานอ้อย ขี้เลื่อย เปลือกถั่วลิสง เปลือกถั่วเขียว ขุยมะพร้าวกากปาล์ม เปลือกมัน เป็นต้น อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกัน 3 ส่วน 4) รำละเอียด 1 ส่วน 5) น้ำสกัดชีวภาพ หรือใช้หัวเชื่อจุลินทรีย์ 1 ส่วน 6) กากน้ำตาล 1 ส่วน 7) น้ำ 100 ส่วน 8)บัวรดน้ำ ขั้นตอนวิธีทำ 1) นำวัสดุต่างๆ มากองซ้อนกันเปนชั้นๆ แล้วคลุกเคล้าให้เข้ากัน 2) ผสมเอาส่วนของน้ำสัดชีวภาพกับน้ำตาลและน้ำคนจนละลายเข้ากันดีใส่บัวราด บนกลองวัสดุปุ๋ยหมัก คลุกให้เข้ากันจนทั่วให้ได้ความชื้นพอหมาดๆอย่าให้แห้ง หรือชื้นหรือแห้งจนเกินไป(ประมาณ 30-40%) หรือลองเอามีดขยำบีบดู ถ้าส่วนผสมเป็นก้อนไม่แตกออกจากกันและเมือรู้สึกชื้นๆไม่แฉะแสดงว่าใช้ได้ ถ้าแตกออกจากกันยังใช้ไม่ได้ต้องรดน้ำเพิ่ม 3) หมักกองปุ๋ยหมักไว้ 7 วัน ก็นำไปใช้ได้ 4) วิธีหมักทำได้ 2 วิธี คือ 4.1 เกลี่ยกองปู๋ยหมักบนพื้นซีเมนต์หนาประมาณ 1-2วัน คลุมด้วย กระสอบป่านทิ้งไว้ 4-5 วัน ตรวจดูความร้อน ในวันที่2-3 ถ้าร้อนมากอาจจะต้อง เอากระสอบที่คลุมออกแล้วกลับกองปุ๋ยเพื่อระบายความร้อน หลังจากนั้นกองปุ๋ย จะค่อยๆ เย็นลงนำลงบรรจุกระสอบเก็บไว้ใช้ต่อไป 4.2 บรรจุปุ๋ยหมักที่เข้ากันดีแล้วลงในกระสอบปุ๋ย ไม่ต้องมัดปากถุง ตั้งทิ้งไว้บนท่อนไม้ หรือไม้กระดานที่สามารถถ่ายเทอกาศใต้พื้นถุงได้ ทิ้งไว้ประมาณ 5- 7 วัน จะได้ปุ๋ยชีวภาพที่ประกอบด้วย จุลินทรีย์ และสารอินทรีย์ต่างๆ เช่นเดียวกันกับน้ำสกัดชีวภาพในรูปแห้ง ปุ๋ยหมักชีวภาพที่ดี จะมีกลิ่นหอม มีใยสีขาวของเชื้อราเกาะเป็นก้อนในระหว่างการหมัก ถ้า ไม่เกิดความร้อนเลย แสดงว่าการหมักไม่ได้ผล อุณหภูมิในระหว่างการกมัก ที่เหมาะสมอยู่ระหว่าง 40-50 องศาเซลเซียส ถ้าให้ความชื้นสูงเกินไป จะเกิดความร้อนสูงเกินไป ฉะนั้นความชื้นที่ต้องพอดี ประมาณ 30% ปุ๋ยหมักชีวภาพเมื่อแห้งดีแล้ว สามารถเก็บไว้ได้นานหลายเดือน เก็บไว้ในที่แห้งในร่ม วิธีใช้ 1.) ผสมปุ๋ยหมักชีวภาพกับดินในแปลงปลูกผักทุกชนิดในอัตรา 1 กิโลกรัมต่อพื้นที่ 1 ตารางเมตร
2.) พืชผักอายุเกิน 2 เดือน เช่นกะหล่ำปลี ถั่วฝักยาว แตงและฟักทองใช้ปุ๋ยหมักชีวภาพคลุก
กับดินรองก้นหลุม ก่อนปลูกผักประมาณ 1 กำมือ
3) ไม้ผลควรรองก้นหลุมด้วยดศษหญ้าหรือใบไม้แห้ง ฟางและปุ๋ยหมักชีวภาพ 1-2
กิโลกรัม สำหรับไม้ผลีท่ปลูกแล้วใส่ปุ๋ยหมักชีวภาพแนวทรงพุ่ม 1.5 กิโลกรัม
ต่อตารางเมตร แล้ว
คลุมด้วยหญ้าแห้งหรือใบไม้แห้งหรือฟาง ควรใส่ปุ๋ยหมักชีวภาพ เดือนละ 1 ครั้งๆ ละ 1 กำมือ
4.) ลักษณะของปุ๋ยหมักต่างๆ ตามระยะเวลาในการนำมาใช้
โดยแบ่งเป็น 4 แบบ ดังนี้ 4.1ปุ๋ยหมักค้างปี ใช้เศษพืชหมักอย่างเดียวนำมาหมักทิ้งไว้ค้างปีก็สารมารถนำมา ใช้เป็นปุ๋ยหมักโดยไม่ต้องดูแลรักษาซึ่งต้องใช้ระยะเวลาในการหมักนานประมาณ 1 ปี 4.2 ปุ๋ยหมักธรรมดา ใช้มูลสัตว์ ใช้เศษพืชและมูลสัตว์ ในอัตรา 100:10 ถ้า เป็นเศษพืชชิ้นส่วนเล็กนำมาคลุกผสมได้เลยแต่ถ้าเป็นเศษ พืชส่วนใหญ่ๆ นำมากองเป็นชั้นๆ แต่ละกองจะทำประมาณ 3 ชั้น แต่ละชั้นประกอบด้วย เศษพืชที่ย่าและรดน้ำสูงประมาณ 30-40 เซนติเมตร แล้วโรยทับด้วยมูลสัตว์แบบนี้ ใช้ระยะเวลาหมักน้อยกว่าปุ๋ยหมักค้างปี เช่นถ้าใช้ฟางข้าวจะใช้เวลาประมาณ 6-8 เดือน ในการหมัก 4.3 ปุ๋ยหมักธรรมดาใช้จุลินทรีย์เร่ง ใช้เวลาในการทำสั้นทำได้โดยการใช้เชื้อจุลินทรีย์ เร่งการย่อยสลายของเศษพืชและมูลสัตว์ทำให้ได้ปุ๋ยหมักเร็วขึ้นนำไปใช้ได้ทัน ฤดูกาลโดยใช้สูตรดังนี้ เศษพืช 1000 กิโลกรัม มูลสัตว์ 100 กิโลกรัมและเชื่อจุลินทรีย์ (น้ำหมักชีวภาพ) ตามความเหมาะสมใช้เวลาหมักประมาณ 30-60 วัน มีจุดประสงค์ เพื่อเป็นการประหยัดในการซื้อเชื่อจุลินทรีย์ 4.4 ปุ๋ยหมักต่อเชื้อ เป็นการนำปุ๋ยหมักธรรมดาใช้จุลินทรีย์เร่งจำนวน 100 กิโลกรัม นำไปต่อเชื้อการทำปุ๋นเป็นปุ๋ยหมักได้อีก 1000 กิโลกรัม(1 ตัน) การต่อเชื้อ นี้สามารถทำการต่อได้เพียงอีก 3 ครั้ง ใช้เวลาการหมักประมาณ 30-60 วัน มีจุดประสงค์เพื่อเป็นการประหยัดในการซื้อเชื่อจุลินทรีย์ 5.) การพิจารณาในแง่ใช้ประโยชน์สูงสุดในการใช้ปุ๋ยหมักชีวภาพ ต้องพิจารณาจากลักษณะของการใส่ให้แก่พืชปลูกโดยแบ่งได้ 3 แบบดังนี้ 5.1 ใส่แบบหว่านทั่วแปลงการใส่ปุ๋ยหมักแบบนี้เป็นวิธีการที่ดีต่อการปรับปรุงบำรุง ดินเนื่องจากปุ๋ยหมักจะกระจายอย่างสม่ำเสมอทั่วทั้งแปลงปลูกพืชที่มีขนาดไม่ ใหญ่มากนักส่วนมากจะใช้กับการปลูกข้าวหรือพืชไร่ หรือพืชผัก แต่จะต้อง ใช้แรงงานในการใส่ปุ๋ยหมัก อัตราของปุ๋ยหมักที่ใช้ประมาณ 2 ตัน ต่อไร่ต่อปี 5.2 ใส่แบบเป็นแถว การใส่ปุ๋ยหมักแบบเป็นแถวตามแนวปลูกพืชมักใช้กับการปลูกพืชไร่ วิธีการใส่ปุ๋ยหมักแบบเป็นแถวที่เหมาะสมที่จะใช้แบบโรยเป็นแถวสำหรับระบบการ ปลูกพืชไร ทั่วไปอัตราปุ๋ยหมักที่ใช้ประมาณ 3 ตันต่อไร่ต่อปี
5.3 ใส่แบบเป็นหลุม การใส่ปุ๋ยหมักแบบเป็นหลุมมักจะใช้กับการปลูกไม้ผลและ
ไม้ยืนต้นโดยสามารถใส่ปุ๋ยหมักได้สองระยะคือ ในช่วงแรกของการเตรียมหลุมเพื่อ การปลูก นำดินด้านบนของหลุมคลุกเคล้ากับปุ๋ยหมักแล้วใส่รองก้นหลุม อีกระยะ หนึ่งอาจจะใส่ปุ๋ยหมักในช่วงที่พืชเจริญแล้ว โดยการขุดเป็นร่องรอบๆ ตันตาม แนวทรงพุ่มของต้นพืช แล้วใส่ปุ๋ยหมักลงในร่องแล้วกลบด้วยดินอัตราการใช้ ปุ๋ยหมักประมาณ 20-50 กิโลกรัมต่อหลุม การใช้ประโยชน์ 1.) ทำให้โครงสร้างของดินและการซึมผ่านของน้ำดีขึ้น 2.) เพิ่มการดูดซับของธาตุอาหารหลักและลดความเป็นพิษของธาตุบางชนิด 3.) เพิ่มกิจกรรมของจุลินทรีย์ในดินและลดปริมาณเชื่อโรคบางชนิด 4.) การระบายอากาศของดินและรากพืชแผ่กระจายได้ดีขึ้น 5.) ดินค่อยๆ ปล่อยธาตุอาหารพืชและลดการสูญเสียธาตุอาหารของพืช การทำปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูง
การทำปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูง
มีรายละเอียดประกอบอะไรบ้างและอัตราส่วนที่ใช้แต่ละชนิด
และการทำปุ๋ยอินทรีย์ในเชิงพาณิชย์ใช้เงินลงทุนเท่าใดและสถาบันการเงินใดบ้างที่สนับสนุน อุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการผลิตปุ๋ยคุณภาพสูง 1. พลั่ว 2. จอบ 2.สายยางรดน้ำ 4. เครื่องชั่งน้ำหนัก 3. เครื่องตีป่น 6. เครื่องผสมปุ๋ย 4. เครื่องอัดเม็ดปุ๋ย 8. สายพานลำเลียงปุ๋ย 5.คราด 10.เครื่องเย็บกระดาษ 6. เชือกฟาง 12. ถุงพลาสติก ขนาด 24*38 นิ้ว 7. กระสอบปุ๋ย(นอก) 14. ด้ายเย็บกระสอบ 8. พลาสติกสำหรับคลุมกองปุ๋ยหมัก 16. รถเข็น 9. ถังพลาสติก วัสดุที่ใช้ในการผลิตปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูง 1. มูลโค,กระบือ 2. ปุ๋ยร็อกฟอสเฟต 2.ปูนขาว 4.ปุ๋ยสูตร 46-0-0 3. ปุ๋ยสูตร 19-19-19(แม่ปุ๋ยผสมเสร็จ) 6. ปุ๋ยสูตร 18-46-0 4. ปุ๋ยสูตร 0-0-60 8. ปุ๋ยสูตร 16-20-0 วิธีทำปุ๋ยหมัก 1.ใช้ปุ๋ยคอก(มูลโค,กระบือ) จำนวน 1 ตัน นำมากองไว้ โรยด้วยปูนขาวและร็อกฟอสเฟต บนกองปุ๋ยคอกอย่างละ 25 กิโลกรัม ใช้จอบผสมให้เข้ากันระหว่างผสมให้หว่านปุ๋ยยูเรีย (สูตร 46-0-0) จำนวน 2-5 กิโลกรัมและรดน้ำไปด้วยการรดน้ำรดให้พอชุ่ม อย่าให้เปียกน้ำมาก จนเกินไป แล้วคลุมด้วพลาสติกใช้ก้อนหินหรือไม้ทับให้แห้ง
2 หลังจากหมักไปแล้ว 3 วัน ให้กลับกองปุ๋ยหมัก
ครั้งที่ 1และครั้งที่2,3,4 ห่างกันครั้งละ
7 วัน
หลังจากกลับปุ๋ยครั้งที่ 4 แล้ว 7 วันให้นำปุ๋ยออกตากแดดให้แห้ง ทำการคัดแยกเศษวัสดุ ที่ปนกับปุ๋ยคอก เช่น กระบก หินตะปู ฯลฯ ออกให้หมด 3. นำปุ๋ยคอกที่ผ่านการตากแห้งและคัดแยกเศษวัสดุอื่นออกแล้วไปตีป่น เก็บใส่ถุง ใช้ เชือกฟางมัดปากถุงให้แน่น และนำไปเก็บไม่ให้ถูกแดดและฝน
4. นำปุ๋ยคอกที่ผ่านการบด มาผสมกับปุ๋ยเคมี ดังนี้
4.1 ปุ๋ยคอกที่บดละเอียดแล้ว จำนวน 75 กก. 4.2 ปุ๋ยสูตร 46-0-0 จำนวน 10 กก. จะได้ธาตุไนโตรเจน 4.6 กก. 4.3 ปุ๋ยสูตร 18-46-0 จำนวน 5 กก. จะได้ธาตุไนโตรเจน 0.9 กก.ลาตุฟอสฟอรัส จำนวน 2.3 กก. 4.4 ปุ๋ยสูตร 0-0-60 จำนวน 5 กก. จะธาตุโปรแตสเซียม 3 กก. 4.5 ปุ๋ยสูตร 16-20-0 จำนวน 5 กก. จะได้ธาตุไนโตรเจน 0.8 กก.ธาตุฟอสฟอรัส 1 กก. หากใช้ส่วนผสมที่กล่าวมานี้ปุ๋ยอินทรีย์ 100 กก. จะมีธาตุอาหารหลักของพืช N= 6 กก. p=3 กก. และ K=3 กก. ซึ่งใช้กับพืชที่กำลังจะเจริญเติบโต เช่น อ้อย มันสำปะหลัง ยางพาราและนาข้าว อัตราที่ใช้ 20 กก./ไร่ หรืออัตราที่ใช้มากน้อยขึ้นอยู่กับความ อุดมสมบูรณ์ของดินในขณะนั้นส่วนใหญ่เกษตรกรจะหาซื้อปุ๋ยสูตรดังกล่าวได้ยากแนะนำให้ ซื้อแม่ปุ๋ยผสมเสร็จได้แก่สูตร 19-19-19 โดยให้ผสมลงไปในปุ๋ยคอก จำนวน 20 กก. แทน ปุ๋ยสูตร 18-46-0,0-0-60 และสูตร 16-20-0 ผสมกับยูเรีย สูตร 46-0-0 จำนวน 5 กก.และ ปุ๋ยคอก 75 กก.ซึ่งจะได้ธาตุอาหารหลักของพืชใกล้เคียงกันนำส่วนผสมทั้งหมดลงใน ถังผสมเติมนำลงไปให้พอชุ่ม ปล่อยให้ผสมจนเข้ากันแล้วจึงปล่อยใส่สายสะพานลำเลียง เพื่อขึ้นไปยังเครื่องอัดเม็ดปุ๋ย 5. หลังจากอัดเม็ดปุ๋ยแล้ว ให้นำเมล็ดปุ๋ยที่ได้นำไปตากแดดให้แห้ง บรรจุกระสอบเย็บปากถุง เก็บรักษาไว้ในโรงเก็บที่สามารถกันแดดและฝนได้ เพื่อรอการจำหน่ายให้กับสมาชิก ท่านผู้อ่าน สงสัยว่าทำไมต้องใส่ปุ๋ยเคมีลงไปในปุ๋ยอินทรีย์ ทำไมไม่ทำเป็นปุ๋ยอินทรีย์ล้วน ๆ หรือทำเป็น ปุ๋ยชีวภาพจากการศึกษารายละเอียดทางวิชาการพบว่า 1. ปุ๋ยอินทรีย์ ส่วนใหญ่ใช้ในการปรับปรุงคุณสมบัติทางกายภาพของดินทำให้ดินโปร่ง ร่วนซุยระบายน้ำและถ่ายเทอากาศได้ดี รากพืชซอนไซอาหารอาหารได้ง่ายขึ้น แต่ปุ๋ยอินทรีย์ มีปริมาณธาตุอาหารที่น้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับปุ๋ยเคมี ธาตุอาหารของพืชที่อยู่ในปุ๋ย อินทรีย์ส่วนใหญ่อยู่ ในรูปของสารประกอบอินทรีย์ เมื่อใส่ลงไปในดิน พืชจะไม่สามารถดูดไว้ ใช้ประโยชน์ได้ในทันทีแต่ต้องผ่านกระบวนการย่อยสลายของจุลินทรีย์ในดินเสียก่อน แล้วจึงจะปลดปล่อยธาตุอาหารเหล่านั้นออกมาในรูปของ สารประกอบอนินทรีย์เช่นเดียวกับ สาร เคมีจากนั้นพืชจึงจะดูดไปใช้ประโยชน์ได้การที่จะใช้ปุ๋ยอินทรีย์มาชดเชยธาตุอาหารพืช ในดินที่สูญเสียไปกับผลผลิตจะต้องใช้ปุ๋ยอินทรีย์จำนวนมหาศาลประกอบกับการปรับปริมาณ การใช้ปุ๋ยอินทรีย์ เพื่อสร้างความสมดุลของธาตุอาหารพืชในดินทำได้ยากลำบากมาก 2.ปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ มีความสามารถดูดธาตุอาหารพืชที่มีอยู่ในอากาศได้เท่านั้น เช่น ไนโตรเจนและฮอร์โมนพืชบางอย่างเท่านั้น แต่ไม่สามารถหาตุอาหารตามความต้องการ ของพืชได้ทั้งหมด 3.น้ำหมักชีวภาพ ได้จากน้ำหมักชิ้นส่วนของพืช สัตว์กับกากน้ำตาล ตุอาหารของพืชจะมีมาก หรือน้อยขึ้นอยู่กับปริมาณและวัสดุที่นำมาหมัก ธาตุอาหารพืชที่ถูกปลดปล่อยผ่าน กระบวนการย่อยสลาย จะมีอยู่ในปริมาณที่น้อยมากทั้งยังทำให้ถูกเจือจางด้วยน้ำอีกประมาณ 10-100 เท่า เมื่อกระบวนการหมักสิ้นสุดลง จะทำให้น้ำหมักมีกรด 2 กลุ่ม คือ ถ้าหมักในระบบ เปิดที่มีอากาศเข้าได้จะได้ กรดน้ำส้ม(กรดอะซิติก)และยีสต์ ถ้าหมักในระบบปิดอากาศเข้าได้ น้อยจะได้กรดนม(กรดแลคติก) และเชื้อแลคติกแบคทีเรีย เมื่อนำน้ำหมักไปราดลงดินหรือฉีด พ่นพืช อาจจะได้ผลดีเนื่องจากสาเหตุดังนี้
3.1 ทำให้ศัตรูพืชลดลงชั่วคราว เพราะไม่ชอบกลิ่นหรือความเป็นกรดแม่เมื่อศัตรูพืชปรับตัวได้
ก็จะมาทำลายพืชเหมือนเดิม 3.2 ในกรณีที่มีเกษตรกรมีการใช้ปุ๋ยเคมีสูตรเดิมๆ อย่างต่อเนื่องทำให้การสะสมธาตุอาหาร พืชบางตัวในดินมากเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งฟอสฟอรัสและโพแตลเซียม เมื่อหยุดใช้ ปุ๋ยเคมีแล้วใช้น้ำหมักชีวภาพแทนพืชจะยังคงสมารถเจริญเติบโตได้ 3.3 ในบางกรณี ดินมีความเป็นด่าง หรือธาตุอาหารของพืชบางตัวไม่ละลายเมื่อใส่น้ำหมักลง ไป จะทำให้สภาพดีขึ้นชั่วคราว 3.4 ในกรณีดินนั้นขาดาตุอาหารรองบางตัว และน้ำหมักนั้นมีธาตุอาหารรองดังกล่าวเข้า ไปทดแทนทำให้เกิดผลดีต่อพืช
3.5 มีฮอร์โมนพืชบางตัวที่ถูกสังเคราะห์ขึ้นในกระบวนการหมักและปริมารที่เหมาะสมกับพืช
นั้น
จึงทำให้พืชเจริญเติบโตดีขึ้นจากข้อมูลทางวิชาการดังกล่าว จึงทำให้กลุ่มฯผลิตปุ๋ย อินทรีย์คุณภาพสูงขึ้นมาใช้เอง ซึ่งเป็นการลดต้นทุนการผลิต พืชมีธาตุอาหารเพียงพอต่อ การเจริญเติบโตดินมีความร่วนซุย จากการผสมมูลสัตว์ที่ผ่านกระบวนการหมักแล้ว นอกจาก นั้นปูนขาวที่ใส่ลงไปในขั้นตอนตอนกระบวนการหมัก ยังช่วยในการปรับปรุงคุณภาพดินทาง
ด้านเคมีได้อีกด้วย
ภาพ VDO ขั้นตอนการทำปุ๋ยหมัก
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น